เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 3


3. ประวัติพระอุบลวรรณาเถรี



ในสูตรที่ 3 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อุปฺปลวณฺณา ได้แก่พระเถรีมีชื่ออย่างนี้ ก็เพราะประกอบ
ด้วยผิวพรรณเสมือนห้องดอกอุบลขาบ.
ได้ยินว่า พระอุบลวรรณาเถรีนั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า
ปทุมุตตระ ถือปฏิสนธิในครอบครัวในกรุงหังสวดี ภายหลังไปสำนักพระ-
ศาสดาพร้อมกับมหาชน กำลังฟังธรรมอยู่ เห็นพระศาสดาทรงสถาปนา
ภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้มี
ฤทธิ์ จึงถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข 7 วัน
ปรารถนาตำแหน่งนั้น. นางทำกุศลจนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดา
และมนุษย์ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ถือปฏิสนธิในราชนิเวศน์
ของพระราชาพระนามว่ากิงกิ กรุงพาราณสี เป็นพระธิดาอยู่ในระหว่างพระ
พี่น้องนาง 7 พระองค์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ถึง 20,000 ปี ทำบริเวณ
ถวายภิกษุสงฆ์ บังเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกนั้นไปสู่มนุษยโลกอีก
บังเกิดในถิ่นของคนทำงานด้วยมือตนเองเลี้ยงชีพในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง วัน
หนึ่ง นางไปยังกระท่อมในนา ระหว่างทางเห็นดอกปทุมบานแต่เช้าตรู่ใน
สระแห่งหนึ่ง ลงสระนั้นแล้วเก็บดอกปทุมนั้นและใบของปทุมเพื่อใส่ข้าว
ตอก เด็ดรวงข้าวสาลีใกล้คันนา นั่งในกระท่อมคั่วข้าวตอก นับได้
500 ดอก. ขณะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ
ที่เขาคันธมาทน์ มายืนไม่ไกลนาง. นางแลเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ถือ

ดอกปทุมพร้อมทั้งข้าวตอกลงจากกระท่อม ใส่ข้าวตอกในบาตรของพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า ปิดบาตรด้วยดอกปทุมถวาย. ครั้งนั้น เมื่อพระปัจเจก-
พุทธเจ้าไปได้หน่อยหนึ่ง นางก็คิดว่า ธรรมดาเหล่าบรรพชิตไม่ต้องการ
ดอกไม้ จำเราจักไปเอาดอกไม้มาประดับ แล้วไปเอาดอกไม้จากมือพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าแล้วคิดอีกว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการดอกไม้ไซร้ ท่าน
จะไม่ให้วางดอกไม้นั้นไว้บนบาตร พระผู้เป็นเจ้าจักต้องการแน่แท้ แล้ว
ไปวางไว้บนบาตรอีก ขอขมาแล้วทำความปรารถนาว่า พระคุณเจ้าข้า
ด้วยผลานิสงส์ของข้าวตอกเหล่านี้ ขอจงมีบุตรเท่าจำนวนข้าวตอก ด้วย
ผลานิสงส์ของดอกปทุม ขอดอกปทุมจงผุดทุกย่างก้าวของดิฉัน ในสถาน
ที่เกิดแล้ว. ทั้งที่นางเห็นอยู่นั่นแล พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไปสู่เขาคันธ-
มาทน์ทางอากาศ วางดอกปทุมนั้นไว้สำหรับเช็ดเท้า ใกล้บันไดที่พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเหยียบ ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ ด้วยผลทานนั้น
นางถือปฏิสนธิในเทวโลก. จำเดิมแต่เวลาที่นางเกิด. ดอกปทุมขนาดใหญ่
ก็ผุดขึ้นทุก ๆ ย่างก้าวของนาง.
นางจุติจากเทวโลกนั้นแล้ว ก็บังเกิดในห้องของดอกปทุม ในสระ
ปทุมแห่งหนึ่งใกล้เชิงเขาที่ดาบสองค์หนึ่งอาศัยเชิงเขาอยู่. ดาบสนั้นไปสระ
แต่เช้าตรู่ เพื่อล้างหน้า เห็นดอกไม้นั่นแล้วก็คิดว่า ดอกนี้ใหญ่กว่าดอก
อื่น ๆ ดอกอื่น ๆ บาน ดอกนี้ยังตูมอยู่ คงจะมีเหตุในดอกนั้น แล้วจึงลง
น้ำ จับดอกนั้น. พอดาบสนั้นจับเท่านั้น มันก็บาน. ดาบสเห็นเด็กหญิง
นอนอยู่ภายในห้องปทุม ได้ความสิเนหาดังธิดา นับแต่พบเข้า จึงนำไป
บรรณศาลาพร้อมทั้งดอกปทุม ให้นอนบนเตียง. ขณะนั้นด้วยบุญญานุภาพ

ของนาง น้ำนมก็บังเกิดที่นิ้วหัวแม่มือ. ดาบสนั้นเมื่อดอกปทุมนั้นเหี่ยว
ก็นำดอกปทุมดอกอื่นมาแทน ให้เด็กหญิงนั้นหลับนอน. นับตั้งแต่เด็ก
หญิงนั้นสามารถเล่นวิ่งมาวิ่งไปได้ ดอกปทุมก็ผุดทุก ๆ ย่างก้าว. ผิว
พรรณแห่งสรีระของนาง เป็นเหมือนดอกบัวบก. เด็กหญิงนั้น ยังไม่
เจริญวัย ก็ล้ำผิวพรรณเทวดา ล้ำผิวพรรณมนุษย์. เมื่อบิดาไปแสวงหา
ผลาผล เด็กหญิงนั้นก็ถูกทิ้งไว้ที่บรรณศาลา.
เมื่อเวลาเจริญวัยแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบิดาไปแสวงหาผลาผล
พรานป่าคนหนึ่งเห็นนางก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่าเหล่ามนุษย์รูปร่างอย่างนี้ไม่มี
จำเราจักตรวจสอบนาง แล้วนั่งรอการมาของดาบส. เมื่อบิดากลับมา
นางก็เดินสวนทางไปรับสาแหรกจากมือของดาบสนั้นมาด้วยตัวเอง แล้ว
แสดงข้อวัตรที่คนควรทำแก่ดาบสซึ่งนั่งลงแล้ว. ครั้งนั้น นายพรานป่าก็
รู้ว่านางเป็นมนุษย์ จึงกราบดาบสแล้วนั่งลง ดาบสจึงต้อนรับด้วยผล
หมากรากไม้กับน้ำดื่มแล้วถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านจักพักอยู่ใน
ที่นี้หรือจักไป. เขาตอบว่า จักไปเจ้าข้า อยู่ในที่นี้จักทำอะไรได้. ดาบส
ขอร้องว่า เหตุที่ท่านเห็นอยู่นี้อย่าได้พูดไปเลยนะ. เขารับว่า ถ้าพระผู้
เป็นเจ้าไม่ประสงค์ก็จะพูดไปเพราะเหตุไรเล่า แล้วไหว้ดาบส ทำกิ่งไม้
รอยเท้า และเครื่องหมายต้นไม้ไว้ในเวลาที่จะมาอีก ก็หลีกไป.
นายพรานป่านั้นไปกรุงพาราณสีเฝ้าพระราชา. พระราชาตรัสถาม
ว่า เหตุไรเจ้าจึงมา. กราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระบาทเป็นพรานป่า
ของพระองค์ พบอิตถีรัตนะอันน่าอัศจรรย์ที่เชิงเขา จึงมาเฝ้าพระเจ้าข้า
แล้วทูลเล่าเรื่องทั้งหมดถวาย. พระราชาสดับคำของนายพรานป่านั้นแล้ว
รีบเสด็จไปเชิงเขา ตั้งค่ายพักในที่ไม่ไกลจึงพร้อมด้วยนายพรานป่า และ
เหล่าราชบุรุษอื่น ๆ เสด็จไปที่นั้น เวลาดาบสนั่งฉันอาหาร ทรงอภิวาท

ปฏิสันถารแล้วประทับนั่ง พระราชาทรงวางเครื่องบริขารสำหรับนัก
บวชไว้แทบเท้าดาบส ตรัสว่า ท่านเจ้าข้า พวกเราจะทำอะไรสักอย่างก็จะไป
ดาบสทูลว่า โปรดเสด็จไป เถิด มหาบพิตร. ตรัสว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้า
จะไป ได้ทราบว่าบริษัทที่เป็นข้าศึกอยู่ใกล้พระผู้เป็นเจ้ามีอยู่ บริษัทนั้น
ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำให้การปฏิบัติเนิ่นช้าสำหรับนักบวชทั้งหลาย ขอบริษัท
นั้นจงไปเสียกับข้าพเจ้าเถิด ท่านเจ้าข้า. ทูลว่า ขึ้นชื่อว่าจิตใจของเหล่า
มนุษย์ร้ายนัก หญิงผู้นี้จักอยู่กลางหมู่ผู้คนมากๆ อย่างไรได้. ตรัสปลอบว่า
ท่านเจ้าข้า นับแต่ข้าพเจ้าชอบใจนางก็จะตั้งนางไว้ในตำแหน่งหัวหน้า
ของคนอื่น ๆ ทะนุบำรุงไว้. ดาบสฟังพระราชดำรัสแล้ว ก็ร้องเรียกธิดา
โดยชื่อที่ตั้งไว้ครั้งยังเล็ก ๆ ว่า ลูกปทุมวดีจ๋า. โดยเรียกคำเดียว นางก็
ออกมาจากบรรณศาลายืนไหว้บิดา. บิดาจึงกล่าวกะนางว่า ลูกเอ๋ย เจ้าเจริญ
วัยแล้วคงจะอยู่ในที่นี้ได้ไม่ผาสุก นับแต่พระราชาทรงพบแล้ว จงไปกับ
พระราชาเสียเถิดนะลูกนะ. นางรับคำบิดาว่า เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ไหว้บิดา
แล้วเดินไปร้องไห้ไป. พระราชาทรงพระดำริว่า จำเราจะยึดจิตใจบิดา
ของหญิงผู้นี้ จึงวางนางไว้บนกองกหาปณะแล้วทรงทำอภิเษก.
จำเดิมแต่พระราชาทรงพานางมาถึงนครของพระองค์แล้ว ก็ไม่ทรง
เหลียวแลสตรีอื่น ๆ เลย ทรงอภิรมย์อยู่กับนางเท่านั้น. เหล่าสตรีอื่น ๆ ก็
ริษยา ประสงค์จะทำนางให้แตกกันระหว่างพระราชา จึงพากันกราบทูลว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า หญิงผู้นี้มิใช่ชาติมนุษย์ดอกเพคะ ดอกปทุมทั้ง-
หลายที่ปรากฏอยู่ในที่พวกมนุษย์ท่องเที่ยวไป พระองค์เคยพบแล้วมิใช่
หรือ หญิงผู้นี้ต้องเป็นยักษิณีแน่แล้ว โปรดขับไล่มันไปเถิดเพคะ. พระ-
ราชาทรงสดับคำของสตรีเหล่านั้น ก็ได้แต่ทรงนิ่งอยู่. บังเอิญสมัยนั้น

เมืองทางชายแดน ก่อการกำเริบ พระนางปทุมวดีก็ทรงพระครรภ์แก่
เพราะฉะนั้น พระราชาจึงทรงคงพระนางไว้ในพระนคร เสด็จไปเมือง
ชายแดน. ครั้งนั้น สตรีเหล่านั้นจึงติดสินบนหญิงผู้รับใช้พระนางสั่งว่า
เจ้าจงนำทารกของพระนางที่พอคลอดแล้วออกไป จงเอาท่อนไม้ท่อน
หนึ่งทาเลือดแล้ววางไว้ใกล้ ๆ แทน. ไม่นานนักพระนางปทุมวดีก็ประสูติ
พระมหาปทุมกุมารอยู่ในพระครรภ์พระองค์เดียว. นอกนั้นทารก 499
พระองค์ ก็บังเกิดเป็นสังเสทชะ ในขณะที่พระมหาปทุมกุมารออกจาก
ครรภ์ของพระมารดาแล้วบรรทมอยู่ ขณะนั้นหญิงรับใช้พระนางรู้ว่าพระ-
นางปทุมวดีนี้ยังไม่ได้สติก็เอาท่อนไม้ท่อนหนึ่งทาเลือดแล้ววางไว้ใกล้ ๆ
แล้วก็ให้สัญญาณนัดหมายแก่สตรีเหล่านั้น สตรีทั้ง 500 คน แต่ละคน
ก็รับทารกคนละองค์ ส่งไปสำนักของเหล่าช่างกลึง ให้นำกล่องทั้งหลาย
มาแล้วให้ทารกที่แต่ละคนรับไว้นอนในกล่องนั้น ทำตราเครื่องหมายไว้
ภายนอกวางไว้. ฝ่ายพระนางปทุมวดีรู้สึกพระองค์แล้วถามหญิงรับใช้นั้น
ว่า ข้าคลอดบุตรหรือจ๊ะแม่นาง หญิงผู้นั้นพูดขู่พระนางว่า พระนางจัก
ได้ทารกแต่ไหนเล่า มีแต่ทารกที่ออกจากพระครรภ์พระนางอันนี้ แล้วก็
วางท่อนไม้ที่เปื้อนเลือดไว้เบื้องพระพักตร์. พระนางทอดพระเนตรเห็น
แล้ว ก็เสียพระหฤทัย ตรัสว่า เจ้าจงรีบผ่าท่อนไม้นั้นเอาออกไปเสีย ถ้า
ใครเขาเห็นจะอับอายขายหน้าเขา. หญิงผู้นั้นฟังพระราชเสาวนีย์ก็ทำเป็น
หวังดี ผ่าท่อนไม้แล้วใส่เตาไฟ.
ฝ่ายพระราชเสด็จกลับจากเมืองชายแดนแล้ว รอพระฤกษ์อยู่ ตั้ง
ค่ายพักอยู่นอกพระนคร ครั้งนั้นสตรี 500 คน ก็มาต้อนรับพระราชา
กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์คงจักไม่ทรงเชื่อข้าพระบาท

ทั้งหลายว่า ที่ข้าพระบาทกราบทูลประหนึ่งไม่มีเหตุ ขอได้โปรดสอบถาม
หญิงรับใช้พระมเหสีดู พระเทวีประสูติเป็นท่อนไม้ พระราชาทรงสอบ
สวนเหตุนั้นแล้วทรงพระดำริว่า พระนางคงจักไม่ใช่ชาติมนุษย์แน่ ดังนี้
แล้วทรงขับไล่พระนางออกไปจากพระนิเวศน์. พอพระนางเสด็จออก
พระราชนิเวศน์เท่านั้น ดอกปทุมทั้งหลายก็อันตรธานไป พระสรีระก็มี
ผิวพรรณแปลกไป พระนางทรงดำเนินไปในท้องถนนพระองค์เดียว
ครั้งนั้นหญิงเจริญวัยผู้หนึ่งแลเห็นพระนางก็เกิดสิเนหาพระนางประดุจว่า
เป็นธิดา จึงพูดว่า แม่คุณจะไปไหนจ๊ะ พระนางตรัสว่า ดิฉันเป็นคนจร
กำลังเที่ยวเดินหาที่อยู่จ้ะ หญิงชราพูดว่า มาอยู่เสียที่นี้ซิจ๊ะ แล้วให้ที่อยู่
จัดแจงอาหารให้เสวย.
เมื่อพระนางอยู่ในที่นั้นโดยทำนองนี้ สตรี 500 คนนั้นก็ร่วมใจกัน
กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เมื่อพระองค์ประทับค่าย
พัก พวกข้าพระบาทมีความปรารถนาว่า เมื่อเทวะของพวกข้าพระบาท
ชนะสงครามกลับมา จักทรงเล่นกีฬาทางน้ำ เป็นพลีกรรมแก่เทวดา
ประจำแม่คงคา ขอเทวะโปรดประกาศให้ทราบเรื่องนี้เพคะ พระราชาดี
พระหฤทัย ด้วยคำทูลของสตรีเหล่านั้น เสด็จไปทรงกีฬาทางน้ำในแม่
พระคงคา หญิงเหล่านั้นถือกล่องที่แต่ละคนรับไว้อย่างมิดชิดไปยังแม่น้ำ
ห่มคลุมเพื่อปกปิดกล่องเหล่านั้น ทำเป็นตกน้ำแล้วทิ้งกล่องทั้งหลายเสีย
กล่องเหล่านั้นมารวมกันหมดแล้ว ติดอยู่ในข่ายที่เขาขึงไว้ใต้กระแสน้ำ.
แต่นั้น เวลาที่พระราชาทรงกีฬาทางน้ำเสด็จขึ้นแล้ว ราชบุรุษทั้งหลายก็
ยกตาข่ายขึ้นเห็นกล่องเหล่านั้น จึงนำไปราชสำนัก พระราชาทอดพระ-
เนตรเห็นกล่องทั้งหลาย จึงตรัสถามว่า อะไรในกล่อง พอเขากราบทูลว่า

ยังไม่ทราบพระเจ้าข้า ท้าวเธอทรงให้เปิดกล่องเหล่านั้นสำรวจดู ทรงให้
เปิดกล่องใส่พระมหาปทุมกุมารเป็นกล่องแรก ในวันนี้พระกุมารเหล่านั้น
ทั้งหมดบรรทมอยู่ในกล่องทั้งหลาย น้ำนมก็บังเกิดที่หัวนิ้วแม่มือ ด้วย
บุญฤทธิ์ ท้าวสักกเทวราชสั่งให้จารึกอักษรไว้ที่ข้างในกล่อง เพื่อพระ-
ราชาจะได้ไม่ทรงสงสัยว่า พระกุมารเหล่านี้ประสูติในพระครรภ์ของพระ-
นางปทุมวดี เป็นโอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสี ครั้งนั้นสตรี 500 คน
ซึ่งเป็นศัตรูของพระนางปทุมวดี ใส่พระกุมารเหล่านั้นไว้ในกล่องแล้ว
โยนน้ำ ขอพระราชาโปรดทราบเหตุนี้ พอเปิดกล่องพระราชาทรงอ่าน
อักษรทั้งหลายแล้วทอดพระเนตรเห็นทารกทั้งหลาย ทรงยกพระมหาปทุม-
กุมารขึ้น ตรัสสั่งว่า จงรีบเทียมรถจัดม้าไว้ วันนี้เราจักเข้าไปในพระนคร
ทำให้เป็นที่รักสำหรับแม่บ้านบางจำพวก แล้วเสด็จขึ้นปราสาท ทรงวาง
ถุงทรัพย์ 1,000 กหาปณะ ไว้บนคอช้าง โปรดให้ตีกลองป่าวประกาศ
ว่า ผู้ใดพบพระนางปทุมวดี ผู้นั้นจงรับถุงทรัพย์ 1,000 กหาปณะไป.
พระนางปทุมวดี ทรงได้ยินคำประกาศนั้นแล้ว ได้ให้สัญญา
นัดหมายแก่มารดาว่า แม่จ๋า จงรับถุงทรัพย์ 1,000 กหาปณะ จาก
คอช้างเถิด. หญิงชรากล่าวว่า ข้าไม่อาจรับทรัพย์ขนาดนั้นได้ดอก.
พระนาง แม้เมื่อมารดาปฏิเสธ 2 - 3 ครั้ง ก็ตรัสว่า แม่พูดอะไร รับ
ไว้เถิดแม่. หญิงชราคิดว่า ลูกของเราคงพบพระนางปทุมวดี เพราะ-
ฉะนั้น จึงกล่าวว่า รับไว้เถิด. หญิงชรานั้น จึงจำใจเดินไปรับถุง
ทรัพย์ 1,000 กหาปณะ. ขณะนั้น ผู้คนทั้งหลายพากันถามหญิงชรานั้นว่า
คุณแม่ เห็นพระนางปทุมวดีเทวีหรือ. หญิงชราตอบว่า ข้าไม่เห็นดอก
แต่ลูกสาวของข้าเห็น. ผู้คนเหล่านั้นถามว่า ก็ลูกสาวของคุณแม่อยู่ที่ไหน

เล่า แล้วก็เดินไปกับหญิงชรานั้น จำพระนางปทุมวดีได้ก็พากันหมอบอยู่
แทบยุคลบาท. ในเวลานั้น หญิงชรานั้นก็ชี้ว่า นี้พระนางปทุมวดีเทวี
แล้วกล่าวว่า ผู้หญิงทำกรรมหนักหนอ เป็นถึงพระมเหสีของพระราชา
อย่างนี้ ยังอยู่ปราศจากอารักขา ในสถานที่เห็นปานนี้. ราชบุรุษเหล่านั้น
เอาม่านขาววงล้อมเป็นนิเวศน์ของพระนางปทุมวดี ตั้งกองอารักขาไว้ใกล้
ประตู แล้วกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรงส่งสุวรรณสีวิกา พระ-
วอทองไปรับ. พระนางรับสั่งว่า เราจะไม่ไปอย่างนี้ เมื่อพวกท่านลาด
เครื่องลาดอันวิจิตรด้วยผ้าเปลือกไม้อย่างดี ระหว่างตั้งแต่สถานที่อยู่ของ
เราจนถึงพระราชนิเวศน์ ให้ติดเพดานผ้าอันวิจิตรด้วยดาวทองไว้ข้างบน
แล้วส่งสรรพอาภรณ์เพื่อประดับไป เราจักเดินไปด้วยเท้า ชาวพระนคร
จักเห็นสมบัติของเราอย่างนี้ พระราชาตรัสว่า พวกท่านจงทำตามความ
ชอบใจของปทุมวดี. แต่นั้น พระนางปทุมวดี ทรงพระดำริว่า เรา
จักประดับเครื่องประดับทุกอย่างเดินไปพระราชนิเวศน์แล้วเสด็จเดินทาง.
ครั้งนั้น ดอกปทุมทั้งหลาย ก็ชำแรกเครื่องลาดอันวิจิตรด้วยผ้าเปลือกไม้
อย่างดี ผุดขึ้นในที่ทุกย่างก้าวพระบาทของพระนาง. พระนางครั้นแสดง
สมบัติของพระองค์แก่มหาชนแล้ว เสด็จขึ้นพระราชนิเวศน์ โปรด
ประทานเครื่องลาดอันวิจิตรทั้งหมด เป็นค่าเลี้ยงดูแก่หญิงชรานั้น.
พระราชารับสั่งให้เรียกสตรี 500 คนมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนเทวี
เราให้หญิงเหล่านั้นเป็นทาสีของเจ้า. พระนางทูลว่า ดีละเพคะ หม่อมฉัน
ขอให้ทรงประกาศให้ชาวเมืองทั่วไปได้ทราบว่า หญิงเหล่านี้พระราชทาน
แก่หม่อมฉันแล้ว. พระราชาก็โปรดให้ตีกลองบ่าวประกาศว่า หญิง 500
คน ผู้ประทุษร้ายพระนางปทุมวดี เราให้เป็นทาสีของพระนางพระองค์

เดียว. พระนางปทุมวดีนั้น ทรงทราบว่า ในนครทั่วไป กำหนดรู้ว่า
หญิงเหล่านั้นเป็นทาสีแล้ว จึงทูลถามพระราชาว่า ข้าแต่เทวะ หม่อมฉัน
จะทำทาสีของหม่อมฉันให้เป็นไท ได้ไหมเพคะ. พระราชารับสั่งว่า
เทวี เจ้าต้องการก็ได้สิ. พระนางกราบทูลว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ขอได้
ทรงโปรดให้เรียกคนตีกลองป่าวประกาศสั่งให้เขาตีกลองป่าวประกาศอีก
ว่า พวกทาสี ที่พระองค์พระราชทานแก่พระนางปทุมวดี พระนางทำให้
เป็นไทหมดทั้ง 500 คนแล้ว. เมื่อสตรีเหล่านั้นเป็นไทแล้ว พระนางก็
มอบพระโอรส 499 พระองค์ให้สตรีเหล่านั้นเลี้ยงดู ส่วนพระองค์เอง
ทรงรับเลี้ยงดูเฉพาะพระมหาปทุมกุมารเท่านั้น. เมื่อถึงเวลาพระราชกุมาร
เหล่านั้นทรงเล่นได้ พระราชาก็โปรดให้สร้างสนามเล่นต่าง ๆ ไว้ในพระ-
ราชอุทยาน. พระราชกุมารเหล่านั้น มีพระชันษาได้ 6 พรรษา ทุก
พระองค์ก็พร้อมกันลงเล่นในมงคลโบกขรณี ที่ปกคลุมด้วยปทุม ใน
พระราชอุทยาน ทรงเห็นปทุมดอกใหม่บาน ดอกเก่ากำลังหล่นจากขั้ว
ก็พิจารณาเห็นว่า ดอกปทุมนี้ไม่มีใจครอง ยังประสบชราเห็นปานนี้ ก็
จะป่วยกล่าวไปไยถึงสรีระของพวกเราเล่า แม้สรีระนี้ก็คงจักมีคติอย่างนี้
เหมือนกัน แล้วทรงยึดเป็นอารมณ์ ทุกพระองค์บังเกิดปัจเจกพุทธญาณ
แล้วพากันลุกขึ้น ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ กลีบดอกปทุม ขณะนั้น พวก
ราชบุรุษที่ไปกันพระราชกุมารเหล่านั้นรู้ว่าสายมากแล้ว จึงทูลว่า พระ-
ลูกเจ้า เจ้าข้า ขอได้โปรดทราบเวลาของพระองค์. พระราชกุมารทั้งหมด
นั้นก็นิ่งเสีย. ราชบุรุษเหล่านั้น ก็พากันไปกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่
เทวะ. พระราชกุมารทั้งหลายประทับนั่งในกลีบดอกปทุม เมื่อพวกข้า-
พระบาทกราบทูล ก็ไม่ทรงเปล่งพระวาจาเลย. พระราชาตรัสว่า พวก

เจ้าจงให้พวกเขานั่งตามชอบใจเถิด. พระราชกุมารเหล่านั้น ได้รับ
อารักขาตลอดคืนยังรุ่ง ก็ประทับนั่งในกลีบดอกปทุมทำนองนั้นนั่นแหละ
จนอรุณจับฟ้า พวกราชบุรุษก็กลับไป รุ่งขึ้น จึงพากันเข้าไปเฝ้าทูลว่า
ขอเทวะทั้งหลาย โปรดทราบเวลาเถิด พระเจ้าข้า. ทุกพระองค์ตรัสว่า
พวกเราไม่ใช่เทวะ พวกเราชื่อว่า พระปัจเจกพุทธะ. พวกเขากราบทูล
ว่า ข้าแต่พระลูกเจ้าทั้งหลาย พระองค์ตรัสพระดำรัสหนัก พระเจ้าข้า.
ธรรมดาว่า พระปัจเจกพุทธะทั้งหลาย ไม่เป็นเช่นพระองค์ดอก ต้องมี
หนวดเครา 2 องคุลี มีบริขาร 8 สวมพระกายสิพระเจ้าข้า. พระราช-
กุมารเหล่านั้นเอาพระหัตถ์ขวาลูบพระเศียร. ทันใดนั้นเอง เพศคฤหัสถ์
ก็อันตรธานหายไป. กลายเป็นผู้มีบริขาร 8 สวมพระวรกาย แล้วก็เสด็จ
ไปเงื้อมเขานันทมูลกะ ทั้งที่มหาชนกำลังมองดูอยู่นั่นแล.
ฝ่ายพระนางปทุมวดี ก็ทรงเศร้าโศกพระหฤทัยว่า เราก็มีลูกมาก
แต่ก็จำพลัดพรากกันไป. เสด็จทิวงคตด้วยพระโรคนั้นนั่นแล บังเกิดใน
สถานของคนทำงานด้วยมือตนเองเลี้ยงชีพ ในหมู่บ้านใกล้ประตูกรุงราช-
คฤห์. ต่อมา นางมีเหย้าเรือนแล้ว วันหนึ่ง กำลังนำข้าวยาคูไปให้สามี
ก็แลเห็นพระปัจเจกพุทธะ 8 องค์ อยู่ในจำนวนบุตรเหล่านั้นของตน
ซึ่งกำลังเหาะไปในเวลาแสวงหาอาหาร จึงรีบไปบอกสามีว่า เชิญดูพระผู้
เป็นเจ้าปัจเจกพุทธะ ช่วยนิมนต์ท่านมา เราจักถวายอาหาร. สามีพูดว่า
ขึ้นชื่อว่าพวกนก ก็บินเที่ยวไปอย่างนั้น นั่นไม่ใช่พระปัจเจกพุทธะดอก.
พระปัจเจกพุทธะเหล่านั้น ก็ลงในที่ไม่ไกลคนทั้ง 2 นั้น ซึ่งกำลังพูดจา
กันอยู่. หญิงนั้นก็ถวายโภชนะคือข้าวสวยและกับแกล้มสำหรับตนในวันนั้น
แด่พระปัจเจกพุทธะเหล่านั้นแล้วนิมนต์ว่า พรุ่งนี้ ท่านทั้ง 8 ขอโปรด

รับอาหารของดิฉันด้วย. พระปัจเจกพุทธะเหล่านั้นกล่าวว่า ดีละท่าน
อุบาสิกา ท่านมีสักการะและมีอาสนะ 8 ที่เท่านั้น ก็พอ เห็นพระปัจเจก-
พุทธะองค์อื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น ก็จงคงจิตใจของท่านไว้. วันรุ่งขึ้น นาง
ก็ปูอาสนะไว้ 8 ที่ นั่งจัดสักการะสำหรับพระปัจเจกพุทธะ 8 องค์.
พระปัจเจกพุทธะทั้งหลายที่รับนิมนต์จึงให้สัญญาณนัดหมายแก่เหล่าพระ-
ปัจเจกพุทธะนอกนั้นว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย วันนี้อย่าไปที่อื่น ทั้งหมด
จงช่วยกันสงเคราะห์โยมมารดาของพวกท่านเถิด. ฟังคำของพระปัจเจก-
พุทธะ 8 องค์นั้นแล้ว ทุกองค์ก็เหาะไปพร้อมกัน ปรากฏอยู่ที่ประตู
เรือนของมารดา. แม้นางเห็นพระปัจเจกพุทธะจำนวนมากกว่าสัญญาที่ได้
รับคราวแรก ก็มิได้หวั่นไหว. นิมนต์ทุกองค์เข้าไปเรือนให้นั่งเหนือ
อาสนะ. เมื่อพระปัจเจกพุทธะกำลังนั่งตามลำดับ องค์ที่ 9 ก็เนรมิต
อาสนะเพิ่มขึ้นอีก 8 ที่ ตนเองนั่งเหนืออาสนะที่ไกล. เรือนก็ขยายตาม
เท่าที่อาสนะเพิ่มขึ้น. เมื่อพระปัจเจกพุทธะทุกองค์นั่งอย่างนั้นแล้ว หญิง
นั้นก็ถวายสักการะที่จัดไว้สำหรับพระปัจเจกพุทธะ 8 องค์ จนเพียงพอ
เท่าพระปัจเจกพุทธะ 500 องค์ แล้วจึงนำเอาดอกอุบลขาบทั้ง 8 ดอก
ที่อยู่ในมือวางไว้แทบเท้าของพระปัจเจกพุทธะที่นิมนต์มาเท่านั้น กล่าว
อธิฐานว่า ท่านเจ้าข้า ขอผิวกายของดิฉัน จงเป็นประดุจผิวภายในห้อง
ดอกอุบลขาบเหล่านี้ ในสถานที่ที่ดิฉันเกิดแล้วเกิดอีกนะเจ้าข้า. พระ-
ปัจเจกพุทธะทั้งหลาย ท่านอนุโมทนาแก่มารดาแล้วก็ไปสู่เขาคันธมาทน์.
แม้หญิงนั้น ทำกุศลจนตลอดชีวิต จุติจากภพนั้นแล้วบังเกิดใน
เทวโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็ถือปฏิสนธิในครอบครัวเศรษฐี. ก็
เพราะนางมีผิวพรรณเสมอด้วยดอกอุบลขาบ. บิดามารดาจึงขนานนาม

ของนางว่า อุบลวรรณา. เมื่อเวลานางเจริญวัย พระราชาทั่วชมพูทวีป
ก็ส่งคนไปสำนักเศรษฐีขอนาง ไม่มีราชาพระองค์ใดที่ไม่ส่งคนไปขอ.
แต่นั้น เศรษฐีคิดว่า เราไม่อาจยึดเหนี่ยวจิตใจของคนทุกคนได้ แต่
จำเราจะทำอุบายสักอย่างหนึ่ง จึงเรียกธิดามาถามว่า เจ้าบวชได้ไหมลูก.
เพราะเหตุที่นางเกิดในภพสุดท้าย คำของบิดานั้นจึงเป็นเหมือนน้ำมัน
เคี่ยว 100 ครั้งราดลงบนศีรษะ. เพราะเหตุนั้น นางจึงกล่าวกะบิดาว่า
บวชได้จ้ะพ่อ. เศรษฐีนั้น จึงทำสักการะแก่นางแล้วนำไปสำนักภิกษุณี
ให้บวช เมื่อนางบวชใหม่ ๆ ถึงเวร [วาระ] ในโรงอุโบสถ. นาง
ตามประทีปกวาดโรงอุโบสถ ถือเอานิมิตที่เปลวประทีป ตรวจดูบ่อย ๆ
ก็ทำฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้ฌานบังเกิด แล้วทำฌานนั้นให้เป็น
บาท ก็บรรลุพระอรหัต. พร้อมด้วยพระอรหัตผลนั่นแล ก็เป็นผู้
ช่ำชองชำนาญในการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ต่อมา ในวันที่พระศาสดาทรง
ทำยมกปาฏิหาริย์ ท่านก็บันลือสีหนาทว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์จักทำปาฏิหาริย์ถวาย. พระศาสดาทรงทำเหตุอันนี้ให้เป็น
อัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่อง ประทับนั่ง ณ พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อ
ทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนา
พระเถรีนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกา ผู้มีฤทธิ์
แล.

จบอรรถกถาสูตรที่ 3

อรรถกถาสูตรที่ 4


4. ประวัติพระปฏาจาราเถรี



ในสูตรที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า วินยธรานํ ยทิทํ ปฏาจารา ท่านแสดงว่า พระ-
ปฏาจาราเถรีเป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้ทรงวินัย.
ดังได้สดับมา พระเถรีนั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
ถือปฏิสนธิในครอบครัว กรุงหังสวดี ต่อมา กาลังฟังพระธรรมเทศนา
ของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้ทรงวินัย ทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้น
ไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ท่านทำกุศลจนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ใน
เทวดาและมนุษย์ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ. ถือปฏิสนธิใน
พระราชนิเวศน์ของพระเจ้ากิงกิ เป็นพระธิดาพระองค์หนึ่งระหว่าง
พระพี่น้องนาง 7 พระองค์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ถึง 20,000 ปี
สร้างบริเวณถวายภิกษุสงฆ์ บังเกิดในเทวโลกอีก เสวยสมบัติอยู่พุทธันดร
หนึ่งในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในครอบครัวเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ต่อมา นางเจริญวัยได้ทำการลักลอบกับลูกจ้างคนหนึ่งในบ้าน
ภายหลังกำลังจะมีสามีที่มีชาติเสมอกัน จึงได้ทำการนัดหมายกับบุรุษที่
ลักลอบกันนั้นว่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไป เจ้าจักไม่ได้เห็นเรา แม้จะประหาร
สัก 100 ครั้ง ถ้าเจ้ายังรักเรา ก็จงพาเราไปเสียเดี๋ยวนี้. บุรุษผู้นั้น
รับคำว่า ตกลง แล้วก็ถือเอาสิ่งของมีค่าติดมือไปพอสมควร พานาง
ออกไป 3-4 โยชน์จากพระนคร อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต่อมา